ปลูกอ้อยคั้นน้ำ ขายแบบครบวงจร รายได้ไม่ธรรมดา
ปลูกอ้อยคั้นน้ำ
ปลูกอ้อยคั้นน้ำ เป็นพืชที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำอ้อยพร้อมดื่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการปลูกทั่วทุกภาคของประเทศ และน้ำอ้อยพาสเจอไรส์เพื่อจำหน่ายต่างประเทศ การผลิตอ้อยคั้นน้ำต้องอาศัยการจัดการด้านพันธุ์ การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวและการขนส่ง เพื่อให้ได้อ้อยคั้นน้ำ พร้อมดื่มที่มีคุณภาพ
ปัจจัยที่ใช้ในการปลูกอ้อยพันธุ์เพื่อคั้นน้ำ
เรื่องของสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกควรเป็นที่ดอนน้ำไม่ท่วมขัง และ การเดินทางสะดวก ห่างไกลจากแหล่งมลพิษ ควรเป็นดินร่วน หรือ ดินร่วนเหนียว ร่วนปนทรายหรือดินเหนียว มีความอุดมสมบูรณ์ของดินปานกลางขึ้นไป ระดับหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ระหว่าง 5.5-7.0 สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต 30-35 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนกระจายสม่ำเสมอ 1,000-1,200 มิลลิเมตรต่อปี และมีแหล่งน้ำเพียงพอ
การเลือกพันธุ์อ้อย
เลือกใช้อ้อยพันธุ์สุพรรณบุรี 50 จะมีลักษณะเป็นสีเขียวเข้ม ลำขนาดใหญ่ สีเขียวอมเหลือง ปล้องยาวให้ผลผลิต 5-6 ลำ ไว้ตอได้ 3-4 ครั้ง ต้านทานต่อโรคลำต้นเน่าแดง อัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกอ้อยได้ประมาณ 1,000 กอ ใช้ระยะปลูก 1.5-1 เมตร หลังปลูกได้ 8 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยอ้อยแต่ละกอจะให้ผลผลิตประมาณ 4-6 ลำ เฉลี่ยพื้นที่ 1 ไร่จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 ลำ อ้อยคั้นน้ำขายที่ลำละประมาณ 10 -15 บาท ทำให้มีรายได้สูงถึงไร่ละ 5,000 บาท แต่ถ้านำมาคั้นน้ำบรรจุขวด อ้อยสด 1 ลำจะคั้นน้ำได้ 3-4 ขวด (ขวดขนาด 350 ซีซี ) ขายราคาขวดละ 10-15 บาท ก็จะช่วยเพิ่มรายได้ถึง 150,000-200,000 บาท เลยทีเดียว นับอ้อยคั้นน้ำเป็นอีกพืชทางเลือกที่จะส่งผลตอบแทนให้เกษตรกรได้ดีเลยที่เดียว
การปลูกอ้อยคั้นน้ำ
การเตรียมดิน
- ในสภาพที่ลุ่ม ต้องขุดเป็นร่องหรือยกร่อง โดยมีสันร่องกว้าง 5-6 เมตร ความยาวร่องตามขนาดพื้นที่ และมีคูน้ำรอบแปลงลึกประมาณ เมตร ในสภาพที่ดอนเป็นการปลูก ในพื้นที่ราบ จึงควรมีการปรับระดับพื้นที่ให้มีความลาดเอียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์
- ถ้าดินมีอินทรียวัตถุต่ำกว่า 1.5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนเตรียมดิน ควรหว่านปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้วอัตรา 1,000-2,000 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วพรวนกลบ
- ไถด้วยผาลสาม 1 ครั้ง ลึก 30-50 เซนติเมตร ตากดิน 7-10 วัน พรวนด้วยผาล 7 1-2 ครั้ง แล้วคราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว และไหล ของวัชพืชข้ามปี ออกจากแปลง
- ในสภาพที่ลุ่ม ให้ทำร่องปลูกตามแนวขวางบนสันร่อง ระยะห่างระหว่างร่อง 0.75-1.0 เมตร ในสภาพที่ดอนระยะระหว่างร่อง 1.25 – 1.5 เมตร
การเตรียมท่อนพันธุ์
- ใช้ท่อนพันธุ์อายุ 6-8 เดือน จากแหล่งและแปลงที่ไม่มีโรคลำต้นเน่าแดงระบาด หรือจัดทำ แปลงพันธุ์ไว้ใช้เอง เพื่อลดต้นทุนการผลิตโดยเตรียมแปลงพันธุ์ 1 ไร่ สำหรับแปลงปลูก 10 ไร่
- ใช้มีดตัดลำอ้อยชิดโคน และตัดยอดอ้อยต่ำกว่าคอใบสุดท้ายที่คลี่แล้วประมาณ 20 เซนติเมตร ลอกกาบใบตัดอ้อยเป็นท่อน จำนวน 3 ตาต่อท่อน แล้วนำไปปลูกทันทีไม่ควรทิ้งไว้เกิน 7 วัน
- ตรวจแปลงพันธุ์อย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบการระบาดของโรค ลำต้นเน่าแดง ต้องขุดกออ้อยออกเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที
วิธีการปลูก
ปลูกเป็นแถวเดี่ยวทั้งในแปลงพันธุ์และแปลงปลูกให้เราวางท่อนพันธุ์ในร่อง ให้มีระยะระหว่างท่อน 50 เซนติเมตร แล้วไถกลบดินให้สม่ำเสมอ สำหรับพันธุ์สุพรรณบุรี50 กลบหนา 3-5 เซนติเมตร สำหรับพันธุ์สิงคโปร์ กลบหนา 1-2 เซนติเมตร
การดูแลรักษา และใส่ปุ๋ย
ให้ปุ๋ยเคมีหลังปลูก หรือหลังแต่งตออ้อย 2 ครั้ง
- ดินร่วน ดินร่วนเหนียว หรือดินเหนียว ให้ปุ๋ยสูตร16-8-8 ครั้งแรกเมื่ออายุ 1 เดือน อัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ ครั้งที่สองเมื่ออายุ 3 เดือน อัตรา 40 กิโลกรัมต่อไร่
- ดินร่วนปนทราย ให้ปุยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ครั้งแรกพร้อมปลูก อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ครั้งที่สองเมื่ออายุ 3 เดือน อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่
- ในอ้อยปลูก ให้ปุ๋ยแบบโรยเป็นแถวข้างกออ้อยแล้วพรวนกลบ ในอ้อยตอ ให้ฝังกลบปุ๋ยห่างจากกออ้อย 10-15 เซนติเมตร
การให้น้ำ
- ให้น้ำทันทีหลังปลูก เพื่อให้อ้อยงอกสม่ำเสมอหลังจากนั้นให้น้ำทุก 2-3 สัปดาห์
ในสภาพที่ลุ่ม ให้น้ำโดยการตักน้ำสาดหรือใช้เครื่องสูบน้ำวางลงในเรือขนาดเล็ก สูบน้ำจากร่อง
ในสภาพที่ดอน ให้น้ำประมาณครึ่งร่อง โดยไม่ต้องระบายน้ำออก
- งดให้น้ำ 2 สัปดาห์ ก่อนเก็บเกี่ยว ถ้าในช่วงเก็บเกี่ยวมีฝนตกหนัก ต้องระบายน้ำออกจากร่องทันทีให้เหลือไม่เกินครึ่งร่อง
ศัตรูของอ้อยคั้นน้ำและการป้องกันกำจัด
โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
- โรคลำต้นเน่าแดง
สาเหตุ เชื้อรา
ลักษณะอาการ ยอดเหลืองลำต้นมีรอยแผลสีน้ำตาลแดง ผิวปล้องเหี่ยว เนื้อในลำเน่าสีแดง ทำให้อ้อยตายทั้งกอ สปอร์ปลิวไปตามแรงลมและน้ำ ระบาดรุนแรงในเขตปลูกอ้อน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สุราษฎร์ธานีและพัทลุง ทำให้อ้อยสูญเสียผลผลิต 50-100 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในฤดูฝน
การป้องกันกำจัด
ปลูกพันธุ์ทนทานต่อโรค คือ สุพรรณบุรี 50 ไม่ใช้ต้นพันธุ์จากแหล่งและแปลงที่มีโรคระบาด - แมลงศัตรูที่สําคัญและป้องกันกําจัด
ปัญหาจากแมลงศัตรูอ้อยคั้นน้ํามีน้อยมาก พบการทําลายของหนอนกอลายจุดเล็กในบางพื้นที่ แต่ความเสียหายไม่รุนแรง จึงไม่จําเป็นต้องใช้สารป้องกันกําจัด
การเก็บเกี่ยว
ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
- เก็บเกี่ยวอ้อยที่อายุ ประมาณ 8 เดือน
- น้ําอ้อยมีความหวาน 13-17 องศาบริกซ์ ลําอ้อยมีความยาวไม่น้อยกว่า 2 เมตร
- ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือเย็น ขณะที่อากาศไม่ร้อนจัด
วิธีการเก็บเกี่ยว
- ตัดเฉพาะอ้อยที่มีอายุ 8 เดือน สังเกตได้คือ พันธุ์สุพรรณบุรี 50 จะมีลําสีเขียวอมเหลือง สําหรับพันธุ์สิงคโปร์จะมีลําสีเหลืองเข้ม
- ใช้มีดถากใบและกาบใบออกทั้งสองด้าน อย่าให้เปลือกหรือลําเสียหาย ตัดลําอ้อยชิดดินแล้วตัดยอดอ้อยต่ํากว่าจุดคอใบประมาณ 25 เซนติเมตร วางบนแคร่หรือพื้นที่สะอาด ห้ามวางบนพื้นดิน
- ใช้ยอดอ้อยหรือเชือกฟางมัดโคนและปลายลําอ้อย มัดละ 10 ลํา แล้วใส่รถบรทุกส่งให้ลูกค้าทันที หรือนําไปไว้ในที่ร่มเพื่อเตรียมจัดส่ง
ขั้นตอนการทำน้ำอ้อยคั้น เพื่อจำหน่อย
ปัจจัยที่จำเป็นต้องใช้ทำอ้อยคั้นน้ำ แบ่งออกได้เป็นดังนี้
- ท่อนอ้อย ความยาวประมาณ 75-90 เซนติเมตร
- เครื่องคั้นน้ำอ้อย ก่อนใช้ล้างลูกหีบด้วยน้ำสะอาดแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
- ภาชนะบรรจุน้ำอ้อย ภาชนะที่ใช้อาจเป็นขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกพร้อมฝาปิด สามารถปิดได้สนิท ซึ่งก่อนบรรจุต้องล้างทำความสะอาดและคว่ำขวดไว้จนกว่าจะแห้ง
- วัสดุการผลิตอื่นๆ เช่น ผ้าขาวบาง มีด ตระกร้า และภาชนะรับอ้อย ต้องทำความสะอาดก่อนนำมาใช้ทุกครั้ง
ขั้นตอนการทำ
- นำท่อนอ้อยที่หั่นเป็นท่อนแล้วไปปอกเปลือกออกให้ทั่วทั้งลำ แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
- นำท่อนอ้อยที่ล้างสะอาดแล้ว เข้าเครื่องคั้นน้ำอ้อย ลูกหีบจะดึงท่อนอ้อยเข้าไปเองช้าๆ จนตลอดท่อนอ้อยเพื่อแยกชานอ้อยกับน้ำอ้อยออกจากกัน
- นำน้ำอ้อยที่ได้กรองด้วยผ้าขาวบางที่สะอาดหนา 4 ชั้น (เพื่อความสะดวกในการทำงานและความสะอาดของน้ำอ้อย ควรต่อท่อจากภาชนะรองรับน้ำอ้อยของเครื่องคั้นน้ำอ้อยจนถึงภาชนะใส่น้ำอ้อย โดยผ่านผ้าขาวบางที่ปิดคลุมภาชนะใส่น้ำอ้อยไว้)
ผลผลิต น้ำอ้อยพร้อมดื่มที่บรรจุขวดสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นหรือแช่ไว้ในถังน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิประมาณ 4 องศาเซลเซียส จะเก็บไว้ได้นานถึง 4 วัน หากจะเก็บนานกว่านั้น ควรเก็บในลักษณะแช่แข็ง
แหล่งข้อมูล : กรมส่งเสริมการเกษตร
บทความอื่นที่น่าสนใจ